พักก่อน! เลิกใช้ LINE ในที่ทำงานเถอะ บอส!!

นับว่าเป็นวัฒนธรรมการใช้เทคโนโลยีในการทำงานที่แปลก สำหรับหลาย ๆ หน่วยงานในบ้านเราที่ใช้ LINE เป็นแอพในการทำงานเป็นหลัก ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อการทำงานแต่อย่างใด  

เนื่องจาก LINE เป็น application ที่ญี่ปุ่นซื้อมาจาก Naver Coperation ของเกาหลี ครูโจโจ้เคยถามเพื่อนครูที่เป็นชาวญี่ปุ่นหลายคน ไม่พบว่ามีใครใช้ LINE ในการทำงานครับ คนญี่ปุ่นจะใช้หลังจากเลิกงานเพื่อคุยกับเพื่อน นัดกันกินข้าว เรื่องส่วนตัวมากกว่า

ครูโจโจ้เองก็พยายามให้องค์กรใช้ email ในการทำงานและหลีกเลี่ยงการใช้ LINE ให้มากที่สุด เพราะตัวแอพไม่มีประสิทธิภาพสำหรับการทำงานเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้นและมันทำให้การทำงานของตัวเราไม่ "Professional" 

มากไปกว่านั้นครูโจโจ้อยากให้ LINE เป็นพื้นที่ส่วนตัว ตามวัตถุประสงค์ของมัน ใช้เพื่อคุยกับเพื่อน และ ครอบครัว ไม่อยากให้คนในองค์กรรู้สึกว่ามันคือแอพที่ใช้ทำงานครับ

จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ครูโจโจ้เคยเขียนบทความหัวข้อ "การใช้ LINE เพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ" แต่ก็ค้นพบว่า 1. ผู้ใช้ไม่มีทักษะและมารยาทในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการทำงาน 2. แอพสามารถใช้ในการทำงานได้แบบฉาบฉวย เร่งด่วนเฉพาะกรณี ไม่ควรใช้เป็นแอพในการทำงานหลัก 3. แอพพัฒนาไปเป็นในรูปแบบ social media ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่ควรเอาร่วมกับการทำงาน 

แต่มันตายตรงไหนรู้ไหมครับ หน่วยงานราชการที่เราประสานงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นระดับจังหวัด หรือระดับประเทศ ต่างก็ใช้ LINE ในการทำงาน เช่น คำสั่งทางราชการ มีทั้งแบบพิมพ์ส่ง เป็นหนังสือราชการ PDF หรือไฟล์อื่น ๆ 😩 ... ก็เลบจำเป็นต้องใช้บ้าง 

เมื่อทางราชการนำ หน่วยงานอื่น ๆ ก็ใช้ตามกันเป็นแถว จนกลายเป็นวัฒนธรรมการทำงานที่ผิดเพี้ยนไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ใหญ่บางคนหรือผู้บริหารเห็นว่ามันสะดวก รวดเร็ว ใช้ง่าย ทำให้หลงติดกับดัก เพราะมันจะทำให้เรากลายเป็นคน "มักง่าย" อย่างไม่รู้ตัว เช่น คิดอะไรออกก็สั่งการลงมา เป็นต้น ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า อะไรก็กลายเป็นเรื่องด่วนไปหมด เพราะไปติดกับดักดังกล่าว จนเราลืมเคารพเวลาผู้อื่นไป และคนที่ลำบากที่สุดคือผู้ที่รับคำสั่งนั่นเอง นี่คือผู้ใช้ไม่มีมารยาทและทักษะการใช้เทคโนโลยีเพื่อการทำงาน มากไปกว่านั้นก็พบการส่งข้อมูลไร้สาระ ข่าวลวงข่าวลือ fake news ที่ไม่มีการคัดกรอง (จดหมายลูกโซ่ยังพบเห็นในปัจจุบันในรูปแบบดิจิตัล) ซึ่งเหล่านี้นอกจากจะสร้างความหงุดหงิดแล้ว ยังทำให้ข้อความที่สำคัญ ๆ เลื่อนขึ้นไป ซึ่งบางครั้งทำให้ยากต่อการค้นหา  

ต่อมา ครูโจโจ้ขอพูดถึง เหตุผลที่เราควรเลิกใช้ไลน์ในการทำงานได้แล้ว โดยจะแบ่งเป็นประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 

1. LINE ไม่สามารถเก็บไฟล์ได้นาน
เพียง 2 สัปดาห์ไฟล์ก็หมดอายุแล้ว และไม่สามารถใช้งานได้อีก จึงเป็นปัญหาเวลาที่สั่งงานด้วยหนังสือ PDF ตั้งแต่ต้นเดือน เมื่อเราต้องการจะกลับไปดูไฟล์คำสั่งนั้นเมื่อใกล้ ๆ สิ้นเดือนอีกครั้ง ไฟล์นั้นเปิดไม่ได้ นอกเสียจากเราจะต้อง download ไฟล์นั้นไว้ในโทรศัพท์ตั้งแต่แรก แต่นั่นก็กินพื้นที่ในโทรศัพท์ของเราไม่น้อย หากสะสมไปเรื่อย ๆ 

2. ใช้พื้นที่บนเครื่องเยอะมาก
หลายท่านที่เจอปัญหาโทรศัพท์ไม่สามารถลงแอพได้แล้วเพราะว่าพื้นที่เต็ม ขอให้ทุกท่านลองดูที่ LINE นะครับ ใช้พื้นที่เยอะมาก ที่เราเขียนข้อความ ไฟล์อะไรต่าง ๆ กินพื้นที่หมด วิธีเดียวที่จะทำให้พื้นที่ในเครื่องของเราเพิ่มคือต้องล้างเครื่อง แต่ข้อความเก่าก็จะหายหมดไปด้วย (ยกเว้นอัลบั้มและ notes) 

3. ระบบการ Sync แย่มาก
อย่างที่กล่าวไว้ที่ข้อก่อนหน้านี้ พอเราลงแอพใหม่ ข้อความต่าง ๆ จะหายไปหมดสิ้น ถึงแม้ปัจจุบันที่จะมีระบบ sync แต่ก็มาได้แค่บางส่วนเท่านั้น เมื่อวันหนึ่งเราซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ ข้อความเก่า ๆ จะหายไปและไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้อีก สำหรับโทรศัพท์ระบบ iOS นั้นยังมีข้อดีว่าถ้าใช้ iPhone กับ iPad สามารถใช้ account เดียวทั้ง 2 เครื่องได้ แต่สำหรับ Android นั้นไม่สามารถทำได้เหมือนกับ iOS จึงจำเป็นที่จะต้องสร้าง 2 accounts แทน เนื่องจากถ้าเรา log in ในแท็บเล็ตอีกเครื่อง ระบบจะบังคับให้ log out ในโทรศัพท์ เพื่อให้ใช้ account ต่อเครื่องเท่านั้น

4. การค้นหายากลำบาก
บางครั้งเราต้องการค้นหาคำสั่งที่เขียนไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ด้วยการคุยกันที่ยาวเหยียด ไร้สาระบ้าง จริงจังบ้าง มันทำให้สิ่งที่เราต้องการนั้นเลื่อนไปไกล ถึงแม้จะเครื่องมือสำหรับค้นหาแล้ว แต่ด้วยการสนทนามีหลายเรื่องปนเป ไม่เป็นหมวดหมู่ บางอย่างก็ไม่ได้ง่ายเลย

5. ปัจจุบัน LINE กลายเป็น Social Media ไม่ต่างกับ Facebook
ไม่ว่าจะมี timeline ให้โพสแบบ Facebook หรือแม้แต่มี Stories ไว้อัพคลิปวิดีโอสั้น ๆ ที่เผยแพร่เพียง 24 ชม. ดังนั้นหมายความว่า LINE นั้นถูกสร้างขึ้นมาให้ใช้เพื่อเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นการแชร์เรื่องราวของตนเองให้กับกลุ่มเพื่อนและคนรู้จัก หรือแม้แต่จะเป็นการเปิดโอกาสในการหาเพื่อนใหม่ ๆ ด้วย ไม่สามารถมารวมกับพื้นที่ในการทำงานได้

6. LINE มีความเป็นส่วนตัว 
จึ
งไม่แปลกที่คุณจะต้องเจอกับชื่อ LINE ที่บางคนตั้งชื่อแปลก ๆ เนื่องจากเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขา เขาไม่ได้ใช้เพื่อทำงานอย่างเดียว เขายังใช้เพื่อติดต่อกับเพื่อนและครอบครัวอีกด้วย มากไปกว่านั้นบางคนก็กลับใช้โพสเหน็บแนมหรือเยาะเย้ย ซึ่งเป็นใครก็มิอาจทราบได้ หรืออาจจะเป็นคุณนั่นเองที่โดนอยู่

เพราะลูกเล่นของแอพมีเยอะเกิน ที่จะต้องใช้ความเป็นทางการได้ ถ้าคุณไม่อยากเจอข้อความที่เป็นมลพิษต่อจิตใจของคุณ เลิกให้ลูกน้องใช้ LINE ในการทำงานซะ 

อย่างไรก็ดี จากกรณีที่แชร์ในโซเชียลเรื่องที่ครูสั่งให้นักเรียน/นักศึกษาเปลี่ยนชื่อ LINE ทั้งหมด ครูโจโจ้ขอแสดงความคิดว่า เพราะความรู้เรื่องเทคโนโลยีของครูท่านนั้นมีน้อยจึงรู้จักใช้แต่ LINE เป็นเทคโนโลยีเดียวที่ยึดเหนี่ยวในการทำงาน นอกจากไม่มีทักษะความรู้แล้วยังไม่มีมารยาท ไม่รู้จักเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น ถ้าครูท่านนี้มีทักษะความรู้ 1. ท่านสามารถเปลี่ยนชื่อนักเรียนเองได้โดยไม่ต้องสั่ง 2. ท่านจะเข้าใจและเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น 3. ท่านจะใช้แอพอื่นที่มีความ professional มากกว่า เช่น Slack, Google Classroom หรือ Discord เป็นต้น 

7. ในโลกใบนี้ไม่ได้มี LINE เพียงอย่างเดียว
เอาล่ะ ผมเข้าใจว่า LINE มันง่าย แต่เพียงเพราะพวกท่านไม่รู้จักตัวอื่นเลยต่างหาก และท่านก็ไม่รู้จักว่า LINE มันควรนำมาใช้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ประเทศที่สร้างแอพนี้ขึ้นมาเขาก็ไม่ได้ใช้ทำงาน แต่ใช้เพื่อคุยกันหลังเลิกงานมากกว่า 

ต่างประเทศส่วนมากเขาใช้ WhatsApp ในการแชทคุยกัน ถ้าไปประเทศจีนก็ใช้ WeChat อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งมีการใช้งานแบบ LINE อย่างไรก็ตาม ก็หลีกเลี่ยงเพื่อไม่ยุ่งความเป็นส่วนตัวโดยการใช้แอพแชทคล้าย ๆ กันแต่มีประสิทธิภาพมากกว่า อย่างเช่น Slack ซึ่งเป็นที่นิยมมาก รวมถึงบริษัทยุคใหม่ในประเทศไทยก็นิยมด้วย 

แต่ที่แน่ ๆ Email ยังคงเป็นพื้นฐานในการสื่อสารเรื่องงานอย่างเป็นทางการที่สุด และจริงจังที่สุด จากแอพแชทต่าง ๆ ที่เอ่ยมา แล้วทำไมเราจึงไม่ใช้กัน? รู้ครับว่าท่านใช้ไม่เป็น แต่ทำไมไม่เรียนรู้ล่ะ? การมักง่ายคือความหายนะมาหลายเรื่องแล้วครับ

สุดท้าย ถ้าผมถามว่าทำไมไม่ใช้ Facebook ในการทำงานล่ะ? คุณอาจจะตอบว่าเพราะมันเป็นพื้นที่ส่วนตัว และไม่เหมาะสมกับการทำงาน แล้วผมถามอีกครั้งว่าแล้วตอนนี้ LINE ต่างกับ Facebook ตรงไหน? Timeline ก็ไม่ต่างอะไรกับ Facebook Feed เท่านั้นไม่พอ Stories ก็ทำตามกันมาติด ๆ 

ทุกคนต่างมีพื้นที่ส่วนตัวและต้องการความเป็นส่วนตัวครับ การที่เรานั้นเป็นคนไม่ทันเทคโนโลยีนั้นไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมันเป็นเรื่องของยุคสมัย เป็นเรื่องของ Generations ที่แตกต่างกัน ฉะนั้นโปรดรับฟังคนรุ่นใหม่ที่เขาเติบโตกับเทคโนโลยีด้วยครับ

ครูโจโจ้

***************************************
🧡 ฝากกด subscribe ที่ด้านบนเพื่อติดตาม
Blogger krujojotalk.com ด้วยนะครับ
และสามารถสนับสนุนด้วยการบริจากผ่านทาง
***************************************
ติดต่อ & ติดตามช่องทางอื่นๆ ได้ที่ 
💗YouTube 
✍สนใจเรียนภาษาอังกฤษ online ได้ที่ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Sport Day หรือ Sports Day?

Organizing : Topic, Supporting และ Concluding Sentences

Special Days in Thailand : วันหยุดของไทย ภาษาอังกฤษ